เบื้องหลังการกำเนิด “เกรด A-F” และเหตุผลที่ไม่มี “เกรด E” ในระบบการศึกษา
ในโลกแห่งการศึกษา เกรดเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและนิสิต โดยใช้ตัวอักษร A, B, C, D และ F เป็นตัวแทนระดับคะแนน แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมไม่มีเกรด E อยู่ในระบบนี้ด้วย? วันนี้เราจะเปิดเผยที่มาที่ไปของการกำหนดเกรดแบบนี้ พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลที่ทำให้ตัวอักษร E ถูกข้ามไป
ความหมายของเกรด F และการให้เกรดในยุคแรกเริ่ม
ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจกับความหมายของเกรด F ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Fail” แปลได้ว่า “สอบตก” หรือ “ล้มเหลว” ส่วนเกรดอื่นๆ ที่เหลือคือ A, B, C และ D นั้น หมายถึงการสอบผ่านในระดับต่างๆ กัน
ในยุคแรกเริ่มของการศึกษา มหาวิทยาลัยมีวิธีการจัดอันดับนักเรียนแตกต่างกันออกไป เช่น มหาวิทยาลัยเยลใช้คำว่า “optimi” สำหรับอันดับสูงสุด ตามด้วย “inferiore” และ “pejores” มหาวิทยาลัยวิลเลียมและแมรีใช้ระบบตัวเลข ส่วนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเคยใช้การแบ่งเกรดตั้งแต่ 1-200
การประดิษฐ์ระบบเกรด A-F โดยมหาวิทยาลัยเมาต์ โฮลีโอก
ในปี 1887 มหาวิทยาลัยเมาต์ โฮลีโอก ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยหญิงล้วนในแมสซาชูเซตส์ ได้เป็นผู้นำในการกำหนดระบบเกรดที่คล้ายคลึงกับแบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน โดยมีการแบ่งเกรดดังนี้:
- A: เยี่ยมยอด 95-100%
- B: ดี 85-94%
- C: พอใช้ 76-84%
- D: แทบจะไม่ผ่าน 75%
- E: สอบตก ต่ำกว่า 75%
หนึ่งปีถัดมา ระบบเกรดได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยเกรด B แทนค่าคะแนนที่ 90-94%, C อยู่ที่ 85-89%, D อยู่ที่ 80-84% และ E คือ 75-79% ส่วนคะแนนต่ำกว่านั้นจะได้รับเกรด F
เหตุผลที่ไม่มีเกรด E ในระบบการศึกษา
แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการใช้เกรด E แต่หลังจากนั้นไม่นาน หลายสถาบันการศึกษาเลือกที่จะข้ามตัวอักษรนี้ไป เนื่องจากความกังวลว่านักเรียนและผู้ปกครองอาจเข้าใจผิดคิดว่า E ย่อมาจากคำว่า “Excellent” ซึ่งแปลว่า “เยี่ยมยอด”
แม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีใครคิดว่า A ย่อมาจากคำว่า “Awful” ซึ่งหมายถึง “ห่วย” แต่ทางโรงเรียนก็อยากให้มีการกำหนดเกรดแบบง่ายๆ ขึ้นมาเพียงเท่านั้น
การใช้ตัวอักษรอื่นแทนเกรด E และ F
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความพยายามที่จะนำเกรด E กลับมาใช้อีกครั้ง แต่แทนที่จะใช้ตัวอักษร E และ F บางสถาบันเลือกที่จะใช้ตัวอักษรอื่นแทน เช่น U ซึ่งย่อมาจาก “Unsatisfactory” หมายถึง “น่าผิดหวัง” หรือ N ที่แปลว่า “No Credit” คือ “ไม่ได้หน่วยกิต”
ความหลากหลายของระบบการให้เกรดในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน สถาบันการศึกษาทั่วโลกมีการกำหนดระบบการให้เกรดที่หลากหลายมากขึ้น บางแห่งเพิ่มเครื่องหมาย + และ – เข้าไปด้วย หรือปรับเปลี่ยนเกณฑ์คะแนนสำหรับแต่ละเกรด นอกจากนี้ยังมีสถาบันบางแห่งที่ยังคงใช้เกรด D แทนการสอบตกอยู่
นักวิจารณ์บางส่วนเชื่อว่าการเขียนวิเคราะห์การเรียนของนักเรียนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการให้เกรด แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีการให้เกรดแบบตัวอักษรนั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสื่อสารถึงประสิทธิภาพของนักเรียน และระบบนี้คงจะคงอยู่คู่สถาบันการศึกษาต่อไปอีกนาน