AI เปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ในประเทศไทยอย่างไร

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นแค่คำใหม่ในวงการเทคโนโลยี แต่กำลังเข้ามามีบทบาทจริงในวงการศึกษาไทย บทความนี้จะพาไปรู้จักกับกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่ได้เปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ในห้องเรียนของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
1. ม.ธรรมศาสตร์ กับระบบติดตามการเรียนด้วย AI
ในช่วงโควิด-19 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้นำระบบ AI มาช่วยติดตามพฤติกรรมการเรียนของนักศึกษาแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยวิเคราะห์จากการเปิดไฟล์ ตอบคำถาม และการมีส่วนร่วมในห้องเรียนดิจิทัล
ผลลัพธ์: นักศึกษาที่มีความเสี่ยงต่อการหลุดระบบสามารถถูกระบุได้ล่วงหน้า ทำให้อาจารย์เข้าไปให้คำแนะนำได้ตรงจุด ลดอัตราการ Drop-out ได้กว่า 25%
2. โรงเรียนในภาคเหนือใช้ AI สอนคณิตศาสตร์
โรงเรียนหลายแห่งในเชียงใหม่และเชียงรายนำ AI มาใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน ระบบจะจัดบทเรียนและแบบฝึกหัดเฉพาะบุคคลอย่างแม่นยำ
ผลลัพธ์: คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนกลุ่มที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำในวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นภายใน 1 ภาคเรียน และครูสามารถใช้เวลาในการสอนเชิงลึกมากขึ้น
3. AI Chatbot ฝึกภาษาอังกฤษ
โรงเรียนเอกชนในกรุงเทพฯ เริ่มนำ AI Chatbot มาใช้สอนภาษาอังกฤษ โดยให้นักเรียนฝึกพูดกับ AI ได้ตลอดเวลา ระบบสามารถประเมินสำเนียง แนะนำคำศัพท์ และตอบโต้บทสนทนาได้ตามระดับของผู้เรียน
ผลลัพธ์: เด็กนักเรียนมีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น และฝึกฝนได้แม้ไม่มีครูเจ้าของภาษา
4. AI ตรวจข้อสอบและประเมินผล
โรงเรียนระดับมัธยมในภาคอีสานบางแห่งเริ่มใช้ AI ตรวจข้อสอบกลางภาค-ปลายภาคอย่างอัตโนมัติ พร้อมสรุปผลเป็นกราฟ วิเคราะห์รายห้อง รายกลุ่มนักเรียน และรายบุคคล
ผลลัพธ์: ครูสามารถใช้ข้อมูลผลวิเคราะห์มาปรับการสอนให้เหมาะกับบริบทจริงของห้องเรียน
สรุป:
AI ไม่ได้มาแทนที่ครู แต่เข้ามาเสริมศักยภาพให้การสอนและการเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยพิสูจน์แล้วว่า AI สามารถปรับโฉมการศึกษาไทยให้ก้าวทันโลกได้ หากมีการนำมาใช้อย่างถูกวิธี และสนับสนุนด้วยนโยบายที่ชัดเจน